ปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ ปัจจุบันกลายเป็นอาชีพยอดนิยมจนติดโผเป็น 1 ใน 5 อาชีพที่คนไทยทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดนิยมทำกัน ไม่ว่าจะเป็นอาชีพเสริมหรือรายได้หลัก เหมาะกับผู้คิดเริ่มต้นธุรกิจ เพราะไม่ต้องใช้เงินลงทุนสูงนัก มีเงินเพียงหลักร้อย ก็สามารถลงทุนเริ่มต้นธุรกิจได้แล้ว
ปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ สร้างรายได้ในยุคเศรษฐกิจขาลง
ในยุคเศรษฐกิจขาลงแบบนี้ จะลงทุนทำธุรกิจใด ๆ ก็ตาม ต้องคิดให้ถี่ถ้วน เพราะทุกการลงทุนก็คือการแบกรับความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ หากคุณใช้เงินลงทุนในการทำธุรกิจมาก แต่ไม่ได้รับผลกำไรเพียงพอ ก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาชักหน้าไม่ถึงหลัง และอาจติดพันเป็นภาระหนี้สินในอนาคตได้
การทำเกษตรกรรม ปลูกพืชสวน พืชไร่ พืชผักสวนครัว ก็นับเป็นการทำธุรกิจอย่างหนึ่งเช่นกัน มีการลงทุนทรัพยากรทั้งการเงิน ที่ดิน แรงงาน อุปกรณ์ ฯลฯ เช่นเดียวกับธุรกิจอื่น ๆ ที่ต้องอาศัยความรู้ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ ที่สำคัญคือ แหล่งเงินทุน
ที่ต้องสายป่านยาวพอสมควรที่จะหล่อเลี้ยงธุรกิจไปจนกว่าจะถึงฤดูเก็บเกี่ยวและจำหน่ายผลผลิต คนทั่วไปที่ไม่ใช่ลูกหลานเกษตรกรโดยกำเนิดจึงมักยั้งคิดก่อนที่จะลงทุนทำธุรกิจนี้
แต่ในปัจจุบัน มีการเพาะปลูกอยู่อย่างหนึ่งที่คนรุ่นใหม่นิยมลงทุนทำเป็นอาชีพเสริม นั่นคือ การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์
การ ปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ ต่างจากปลูกผักทั่วไปอย่างไร?
คำว่าผักไฮโดรโปนิกส์ หลาย ๆ คนน่าจะเคยได้ยินชื่อ การ ปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ คือ การปลูกพืชที่ไม่ใช้ดิน แต่ใช้น้ำที่มีแร่ธาตุ ที่สำคัญต่อพืชนั้น ๆ
จริง ๆ แล้ว การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากว่าพันปี ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบบันทึก ที่คนสมัยก่อนเริ่มนำสารอาหารหรือแร่ธาตุใส่ลงไปในน้ำ และให้อาหารกับพืชแทนดิน จุดนั้นคือสิ่งเริ่มต้นของคำว่า “ผักไฮโดรโปนิกส์” (Hydro = น้ำ)
ทำไมคนจึงนิยมปลูกผักไฮโดรโปนิกส์เป็นอาชีพเสริม?
สาเหตุที่คนรุ่นใหม่ เกษตรกรรุ่นใหม่ Smart Farmer ตลอดจนคนทั่วไปหันมาให้ความสนใจการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ ก็เพราะธุรกิจนี้มีข้อดีหลายอย่าง ได้แก่
1. ช่วยประหยัดการลงทุนในเรื่องที่ดินในการเพาะปลูก เพราะผักไฮโดรโปนิกส์ไม่ต้องใช้พื้นดินในการปลูก ใช้พื้นที่เพียงเล็กน้อยอย่างโรงเรือนขนาดเล็กที่สวนหลังบ้าน ระเบียงบ้าน หรือแม้แต่ดาดฟ้าหรือระเบียงคอนโด ก็สามารถปลูกได้สบายมาก
2. ช่วยประหยัดการลงทุนในเรื่องแรงงาน เพราะผักไฮโดรโปนิกส์ไม่ต้องใช้พื้นที่กว้างเป็นสวนเป็นไร่ในการปลูก ไม่ต้องยกแปลง ไม่ต้องหักร้างถางพงเพื่อปรับหน้าดิน เหมือนอย่างปลูกพืชทั่วไป
การเพาะปลูกสามารถทำได้ใน โรงเรือนเพาะปลูก (คลิกดูอุปกรณ์ที่ใช้สร้างโรงเรือนได้ที่นี่) ซึ่งถ้าปลูกในโรงเรือนขนาดเล็กถึงกลาง ใช้แรงงานเพียง 1 – 2 คนในการเพาะและดูแลก็เพียงพอแล้ว
3. การเพาะและดูแลรักษาทำได้ไม่ยาก ไม่จำเป็นต้องเป็นลูกหลานเกษตรกรหรือเคยทำมาก่อน ก็สามารถทำได้จากการเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง เช่น หาข้อมูลจากเว็บไซต์ ดู Youtube ไปขอคำแนะนำจากศูนย์การเรียนรู้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ก็สามารถเริ่มต้นธุรกิจได้ด้วยตัวเองแล้ว
4. เป็นมิตรต่อคน สัตว์ ระบบนิเวศน์ และสิ่งแวดล้อมของโลก เพราะช่วยลดการปนเปื้อนของสารต่าง ๆ ที่จะมากับดิน การปลูกในโรงเรือน (ดูข้อมูลเกษตรโรงเรือนคลิกที่นี่) จะช่วยลดการใช้ยาฆ่าแมลง ยากำจัดศัตรูพืช ที่เป็นอันตรายต่อคน และ สิ่งแวดล้อม
5. พืชผักที่ได้มีความสะอาด ปลอดภัยต่อผู้ที่นำมารับประทาน เป็นผลผลิตที่เป็นมิตรสูงสุดต่อผู้บริโภค
6. เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะลงทุนน้อย เพียงหลักร้อยก็ทำได้แล้ว และสามารถสร้างรายได้ได้จริง เพราะผลผลิตเป็นที่ต้องการของตลาด เนื่องจากผู้คนในปัจจุบันเริ่มหันมาใส่ใจ ดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้น ผู้คนเริ่มยอมจ่ายแพงกว่า เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีกว่า
7. ผลผลิตสามารถนำไปต่อยอดเพิ่มมูลค่าได้มากมายหลายทาง เช่น ทำเป็นผักสลัดพร้อมทาน ทำเป็นน้ำผักผลไม้สกัด และอีกหลายหลายเมนูเพื่อสุขภาพ จะจำหน่ายแบบปลีก-ส่ง หรือ ขายเป็นวัตถุดิบส่งให้ร้านอาหารก็สร้างกำไรได้ดี
ปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ขาย ต้องเริ่มอย่างไร?
1. เลือกชนิดของผักที่จะปลูก
สำหรับพืชที่ผู้เริ่มลงทุนทำธุรกิจปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ขาย ควรเลือกพืชที่มีระยะการดูแลไปจนถึงเก็บเกี่ยวในเวลาอันสั้น อย่างพืชกินใบ เช่น ผักกาดหอม กะหล่ำปลี ผักชี หรือหน่อไม้ฝรั่ง ซึ่งพืชเหล่านี้ใช้ระยะเวลาในการปลูกไปจนถึงเก็บเกี่ยวเพียง 1-2 เดือน (30-60 วัน) เท่านั้น
ส่วนพืชชนิดอื่น ๆ อย่าง มะเขือเทศ มันฝรั่ง หัวไชเท้า หรือที่นิยมกันคือ เมลอน นั้นก็สามารถปลูกได้เช่นกันค่ะ แต่จะใช้ระยะเวลานานกว่า และต้องศึกษาปริมาณน้ำ ปริมาณของสารอาหาร ตลอดจนความเข้มข้นของแสงแดด ที่พืชแต่ละชนิดต้องการ และใช้ให้พอดีกับพืช จึงจะได้ผลผลิตที่งามดี ขายได้ราคา
2. เลือกรูปแบบของการปลูก
หลังจากเลือกชนิดของพืชที่ต้องการปลูกได้แล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการเลือกรูปแบบของการปลูก ซึ่งมีรูปแบบให้เลือกมากถึง 5 แบบด้วยกัน ได้แก่
1. การปลูกแบบลอยน้ำ
คือการนำโฟมยึดไปที่ลำต้น และปล่อยรากให้จมอยู่ในน้ำที่เราได้ใส่แร่ธาตุอาหารต่าง ๆ ไว้เรียบร้อยแล้วนั่นเองค่ะ เป็นการปลูกที่ทำได้ง่ายที่สุด
2. การปลูกแบบรางน้ำ
คือการใส่แร่ธาตุต่าง ๆ ลงไปในน้ำ แล้วสร้างรางที่มีทางลาดเอียงให้น้ำวิ่งไหลผ่านรากเพื่อช่วยในการดูดซึมอาหาร
ภาพจาก https://trendhmdcr.com/wp-content/uploads/2018/04/Cozy-Small-Vegetable-Garden-Ideas-On-A-Budget-20.jpg
ภาพจำลองระบบการปลูกจาก http://guyubtani.blogspot.com/2016/05/cara-bertanam-hidroponik-dft-deep-flow-technique.html
3. การปลูกแบบน้ำลึก
หรือ DWC Hydroponics systems คือ การให้รากของพืชแช่อยู่ในน้ำที่มีแร่ธาตุอาหารลึก 20 เซนติเมตร จะช่วยให้พืชได้รับสารอาหารอยู่ตลอดเวลา เหมาะกับพืชที่ต้องการสารอาหารในปริมาณสูง อาทิ มะเขือเทศ เมลอน บัตเตอร์เฮด เป็นต้น
ภาพจำลองระบบการปลูกจาก https://www.leaffin.com/hydroponic-tomatoes/
4. การปลูกแบบอากาศไหลเวียนต่อเนื่อง
ระบบการปลูกนี้เหมาะกับการปลูกเพื่อการค้าขายมากที่สุด เพราะพืชจะได้รับทั้งแร่ธาตุและอากาศอย่างเข้มข้นมากกว่าแบบอื่น ๆ
ซึ่งจะทำให้ได้ผลผลิตที่ดีกว่าแบบอื่น ๆ นั่นเอง
5. การปลูกแบบผสมผสาน
เป็นระบบที่นำน้ำที่มีแร่ธาตุแช่ลงไปในรากเพียงระยะหนึ่ง เพื่อให้พืชได้ดูดซึมสารอาหาร ต่อมาจึงปล่อยน้ำออกให้ผักได้รับอากาศค่ะ
3. เลือกสถานที่ในการปลูก
การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์นั้น ควรปลูกในโรงเรือนการเกษตรมากที่สุด เพราะผักไฮโดรโปนิกส์อ่อนไหวต่อปริมาณน้ำและความเข้มข้นของแสงแดด จึงไม่ควรปลูกในที่ ๆ โดนฝนโดยตรง หรือโดนแสงแดดมากเกินไป การปลูกในโรงเรือนเพาะปลูกจึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดของผักไฮโดรโปนิกส์ค่ะ
อ่าน เคล็ดลับความสำเร็จของการเพาะปลูกในโรงเรือน ได้ที่นี่
การเลือก พลาสติกคลุมโรงเรือน หรือ สแลน ก็มีความสำคัญ อย่างเช่น พลาสติกคลุมโรงเรือน รุ่นพรางแสง+กันฝน แบบ 2 in 1 นวัตกรรมการเกษตรจาก Supreme Shading Net นั้น มีคุณภาพสูง อายุการใช้งานยาวนานถึง 10 ปี มีความยืดหยุ่นและแข็งแรง ช่วยป้องกันฝน และ กรองแสงแดด แสง UV ที่ไม่จำเป็น ไม่ให้เข้ามาทำร้ายพืชได้
สามารถป้องกันนก แมลงศัตรูพืช และแมลงต่าง ๆ อย่างได้ผล จึงมั่นใจได้ว่า การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ของคุณต้องประสบความสำเร็จแน่นอน
4. แร่ธาตุและอุปกรณ์ในการปลูก
การเลือกแร่ธาตุที่เหมาะสม และครบถ้วนต่อความต้องการของพืช จะทำให้พืชเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และมีผลผลิตที่สวยงาม
การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ ต้องลงทุนอะไรบ้าง?
การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ เป็นที่นิยมจนติดโผเป็น 1 ใน 5 อาชีพเสริม ที่คนไทยทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดนิยมทำกัน ก็เพราะไม่ต้องใช้เงินลงทุนสูงนัก มีเงินเพียงหลักร้อย ก็สามารถลงทุนเริ่มต้นธุรกิจได้แล้ว
ที่สำคัญ ผลผลิตเป็นที่ต้องการของตลาด แถมขายได้ราคาดี มีส่วนต่างค่อนข้างสูง สามารถสร้างผลกำไรหลักหมื่นได้ในเวลาอันรวดเร็ว
ในช่วงเริ่มต้น หากคุณมีทำเลเหมาะ ๆ ที่จะใช้ในการเพาะปลูกอยู่แล้ว คุณก็เพียงแค่ลงทุนซื้ออุปกรณ์การทำเกษตรโรงเรือน โดยสิ่งที่ต้องพิถีพิถันเลือกสักหน่อย คือ พลาสติกคลุมโรงเรือน หรือ สแลนการเกษตร (ดูสินค้าที่นี่) ก็ได้
แต่หากคุณต้องการประหยัดเวลา ไม่ต้องเหนื่อย โรงเรือนปลูกผักไฮโดรโปนิกส์สำเร็จรูป ก็ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีค่ะ เพราะออกแบบมาให้ติดตั้งง่าย สามารถทำได้ด้วยตัวเอง น้ำหนักเบา ยกเคลื่อนย้ายได้สะดวก
บางรุ่นจำหน่ายพร้อมสรรพ ทั้งโครงสร้าง ชั้นตะแกรง วัสดุคลุมโรงเรือน ไปจนถึงระบบไฮโดรโปรนิกส์ มาพร้อมปั๊มน้ำก็มี ซึ่งสามารถหาซื้อได้จากร้านค้าออนไลน์ทั่วไป หรือใน Lazada Alibaba ก็มีค่ะ
สนนราคาก็มีตั้งแต่ 1,500 บาท ไปจนถึงหลักหมื่นหรือหลายหมื่น ขึ้นอยู่กับคุณภาพของวัสดุ ความแข็งแรงทนทาน ไปจนถึงประสิทธิภาพและความสมบูรณ์แบบของระบบไฮโดรโปนิกส์ที่ติดตั้ง
ภาพสินค้าทั้งหมดจาก https://www.lazada.co.th
การลงทุนต่อไป ก็คือการหาซื้อเมล็ดพันธุ์ของผักที่ต้องการปลูก โดยคำนึงถึงอายุเก็บเกี่ยวเป็นหลัก ในช่วงแรกของการลงทุนต้องเลือกที่อายุการเก็บเกี่ยวสั้นหน่อย เพื่อให้สามารถนำไปขายและมีเงินทุนหมุนเวียนให้มากขึ้น
แร่ธาตุที่เป็นอาหารของพืช ก็ต้องลงทุนเช่นกัน คัดสรรเลือกให้ตรงกับชนิดของพืชผักที่ปลูก จะช่วยให้ผลผลิตงอกงาม และขายได้กำไรดีค่ะ
เพียงเท่านี้ คุณก็จะสามารถเริ่มธุรกิจปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ขายได้แล้ว โดยไม่ต้องมีประสบการณ์ยาวนานก็สามารถทำได้ แต่ สิ่งสำคัญที่สุดก่อนเริ่มลงทุน คือ การศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับพืชที่ต้องการปลูก แร่ธาตุต่าง ๆ ตลอดจนการคัดสรรอุปกรณ์ที่เหมาะสมให้ถี่ถ้วนก่อนลงมือทำ เพื่อป้องกันความผิดพลาด
และถ้าอยากให้ผลผลิตมีคุณภาพดี ได้รับแสงแดดที่เพียงพอ ไม่โดนแสงแดดมากเกินไป ไม่โดนฝนจนพืชเน่าเสีย และไม่โดนแมลงหรือวัชพืชเข้ามาทำร้ายพืชของคุณละก็ อย่าลืมใช้ สแลนคลุมโรงเรือนรุ่นพรางแสงกันฝน 2 in1 ของ Supreme Shading Net เท่านั้นนะคะ
****************************************************************************************************************
🌿Supreme Shading Net ไม่ว่าฤดูไหน ก็ทำการเกษตรได้‼️ ด้วยนวัตกรรมใหม่ สแลนพรางแสงกันฝนแบบ 2 in 1
👍ช่วยคุณประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ต้องจ่าย 2 ต่อ
👍เลือกพรางแสงได้ตั้งแต่ 20% – 50% ตามความต้องการของพืช
👍อายุการใช้งานนานถึง 10 ปี
👍มีจำหน่ายทั้งแบบปลีกสำหรับครัวเรือน
👍และยกม้วนสำหรับโรงเรือนขนาดใหญ่
เลือกดูสินค้าคลิกตรงนี้ได้เลย
สอบถามรายละเอียดและสั่งซื้อได้ที่
📞Line : @supremeshadingnet
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ✅www.supremeshadingnet.com
ข่าวสารโปรโมชั่นดี ๆ ที่ Facebook Supreme Shading Net คลิกที่นี่เลย
**************************************************************************************************************
#SupremeShadingNet #พลาสติกคลุมโรงเรือน #เกษตรโรงเรือน #พลาสติกกันแสง #พลาสติกกันฝน #พลาสติกกันแสงกันฝน2in1